การป้องกันและแก้ไขมลพิษทางน้ำ
1. การควบคุมการปล่อยน้ำทิ้งลงในแหล่งน้ำ น้ำทิ้งจากแหล่งต่าง ๆ ควรจัดการให้มีระบบ บําบัดน้ำเสีย ตัวอย่างเช่น ระบบบําบัดน้ำเสียของสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จํากัด ใน พระบรมราชูปถัมภ์ (ภาพที่ 4-3) เป็นการกําจัดการเน่าเสียระบบบําบัดทางชีวภาพแบบ ใช้อากาศหรือแบบบ่อเปิด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


2. การกําจัดความเน่าเสียโดยธรรมชาติ โดยปกติปฏิกูลที่ทิ้งลงในน้ำจะถูกจุลินทรีย์กําจัดอยู่ แล้วโดยธรรมชาติ น้ำในแม่น้ำลําคลองที่มีปริมาณสารอินทรีย์มากเกินไปจะทําให้เกิดสภาวะ ที่ไม่เหมาะตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้ำ ธรรมชาติมีกระบวนการกําจัดเพื่อช่วยลด สารอินทรีย์ให้มีจํานวนคงที่และเหมาะแก่สิ่งมีชีวิต ในกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ ์โดยใช้ออกซิเจนช่วยนี้ จุลินทรีย์ที่มีอยู่มากมายในน้ำจะทําการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ ให้กลายเป็นแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำมนุษย์และสัตว์หายใจออกมาก็มีแก๊สนี้ปะปนอยู่ พืชสีเขียวสามารถนําไปใช้สังเคราะห์แสงได้ผลจากปฏิกิริยาการสังเคราะห์แสงทําให้ ได้พลังงานซึ่งจุลินทรีย์จะนําไปใช้ในการดํารงชีวิตต่อไป วิธีแก้ไขหรือป้องกันมิให้น้ำเสีย วิธีหนึ่งก็คือ ควบคุมจํานวนจุลินทรีย์ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนเกิดการ ขาดแคลนออกซิ เจน หรือไม่น้อยเกินไปจนย่อยสลายไม่ทัน รวมทั้งต้องควมคุมปริมาณ ออกซิเจนในน้ำให้มีพื้นที่ผิ วน้ำมากพอที่จะทําให้ ออกซิเจนแทรกลงไปในน้ำได้สะดวก ซึ่ง อาจช่วยได้ด้วยการทําให้อากาศในน้ำเกิดการหมุนเวียนตลอดเวลานอกจากนี้อาจจะใช้วิธีการ เลี้ยงปลา เช่นที่สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จํากัด ใน พระบรมราชูปถัมภ์ใช้วิธี การเลี้ยง ปลานิลในบ่อน้ำทิ้งที่ใช้ในการล้างทําความสะอาดอุปกรณ์ และเครื่องจักรที่ปนเปื้อนนม ปลานิลจะกําจัดน้ำเสียโดยกินเศษนมที่ปนอยู่ในน้ำ เป็นต้น
3. การทําให้เจือจาง หมายถึงการทําให้ของเสียเจือจางลงด้วยน้ำจํานวนมากเพียงพอ เพื่อลด ปริมาณความสกปรก เช่น การระบายน้ำเสียลงในแม่น้ำลําคลอง ในการระบายนั้นจําเป็น ต้องคํานึงถึงปริมาณความสกปรกที่แหล่งน้ำนั้นจะสามารถรับได้ด้วย ปริมาณความสกปรก ของน้ำ ที่แหล่งน้ำจะรับได้ขึ้นอยู่กับปริมาตรน้ำที่ใช้ในการเจือจาง หรือขึ้นอยู่กับอัตราการ ไหลของน้ำในแหล่งน้ำ วิธีนี้จําเป็นต้องใช้เนื้อที่กว้าง หรือปริมาตรมากจึงจะพอเพียงต่อ การเจือจางความสกปรก โดยสากลถือว่าน้ำสะอาดควรมีค่า บีโอดี 2 มิลลิกรัมต่อลิตร ถ้าค่า บีโอดี มากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อลิตร ถือว่าน้ำนั้นมีโอกาสเน่าเสียได้ น้ำทิ้งควรมีค่าสาร แขวนลอย 30 มิลลิกรัมต่อลิตร และค่า บีโอดี 20 มิลิกรัมต่อลิตรซึ่งเมื่อถูกเจือจาง ด้วยน้ำสะอาดจากแม่น้ำ 8 เท่าแล้ว จะมีค่า บีโอดี ไม่เกิน 4 มิลลิกรัมต่อลิตรน้ำใน ลักษณะดังกล่าวถือว่าไม่มีความเน่าเสียแล้ว
4. การทําให้กลับคืนสู่สภาพเดิมและการนํากลับมาใช้อีก เป.นวิธีทําให้น้ำทิ้งกลับคืนมาเป็นผล พลอยได้และนํามาใช์ประโยชน์ได้อีก หลักการนี้มีผลดีต่อโรงงานอุตสาหกรรมโดยตรง ในการลดปริมาณของเสียที่ปล่อยจากโรงงาน โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกําจัดของเสีย ประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื่องจากนําสิ่งที่ใช้แล้วมาใชได้อีก การนําเอาน้ำที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ในกิจการอื่นอีก ไม่จําเป็นต้องใช้น้ำที่มีความสะอาดมากนัก ดังนั้นในปัจจุบัน วิธีการนี้จึงเป็นที่นิยมกันมาก
5. ในกรณีที่น้ำเน่าเสียแล้ว ห้ามทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแหล่งน้ำอีก ทั้งนี้เพื่อให้เวลากับแหล่งน้ำ กลับคืนสู่สภาพปกติตามธรรมชาติ แต่ถ้าการกลับคืนสู่สภาพเดิมช้าเกินไป สามารถเร่งได ้ด้วยการเพิ่มออกซิเจนเพื่อให้แบคทีเรียทํางานได้ดีขึ้น โดยกระทําดังนี้
- ทําให้ลอยตัว โดยใช์โฟลตติง แอเรเตอร์ (Flaoting aerator) หลาย ๆ ตัวเติมออกซิเจน เป็นระยะ ๆ ตลอดลําน้ำที่เน่าเสีย วิธีนี้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง จึงนิยมใช้กับปากแม่น้ำที่ติด ทะเล ซึ่งมีการเน่าเสียร้ายแรงกว่าบริเวณอื่น ๆ
- ใช้เรือแล่น เพื่อให้เกิดฝอยน้ำและคลื่นเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้แก่ลําน้ำบริเวณที่เสีย
- เพิ่มปริมาณน้ำ และอัตราการไหลของน้ำให้ไหลพัดพาน้ำส่วนที่เน่าเสียลงในทะเล ให้หมดโดยใช้ฝนเทียมช่วย
6. การกักเก็บของเสียไว้ระยะหนึ่งก่อนปล่อย หรือกักเก็บไว้เพื่อปล่อยออกทีละน้อยโดย สม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้เวลาของเสียเปลี่ยนแปลงสลายตัวไปเองตามธรรมชาติ
7. การถ่ายเทของเสียจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนแปลงแหล่งรับของเสียใหม่ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งของเสียจํานวนมากเกินไปลงสู่แหล่งรับของเสียเดิมจนทําให้เกิด ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสียอีก

 

 

ภาพที่ 4-3 แผนภาพแสดงระบบบําบัดน้ำเสียของสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จํากัด

การป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำ อากาศ ดินและขยะ