|
|
เนื่องจากสิ่งแวดลอมมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์มากมายดังนี้
1.
เป็นแหล่งปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต
มนุษย์ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมเพื่อการดํารงชีวิตดังนี้
1.1
อาหารการดํารงชีวิตของมนุษย์ต้องกินอาหารซึ่งมีแร่ธาตุและพลังงานต่างๆ
จากพืชและสัตว์ อาศัยน้ำที่หมุนเวียนอยู่ในธรรมชาติในการดื่มและใช้
อาศัยดินเป็นแหล่งผลิตอาหารทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ มนุษย์บางกลุ่มอาจกินเฉพาะพืชหรือเฉพาะสัตว์
กินทั้งอาหารสดและอาหารที่ทําให้สุกแล้ว การแสวงหาอาหารของมนุษย์ได้มีการพัฒนามาโดยลําดับ
เริ่มต้นแสวงหาอาหารจากแหล่งธรรมชาติ การนําอาหารมาเก็บสะสมไว้ที่บ้าน
จนถึงการรู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และการผลิตอาหารจากทรัพยากรธรรมชาติได้เอง
1.2 ที่อยู่อาศัย เดิมทีมนุษย์อาศัยอยู่ตามแหล่งธรรมชาติ
ต้องอาศัยหลับนอน พักผ่อนเลี้ยงดูสมาชิกครอบครัวตามร่มไม้ หุบเขาหรือถ้ำ
ดัดแปลงธรรมชาติเพื่อป้องกันภัยที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น
ฝนตก น้ำท่วม แดดร้อน ฯลฯ ตลอดจนการสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันภัยจากธรรมชาติ
สัตว์อื่น รวมทั้งการป้องกันภัยจากมนุษย์ด้วยกันเอง การเลือกที่อยู่อาศัยก็มักเลือกตามแหล่งที่สามารถหาอาหารและน้ำได้สะดวกปลอดภัย
ดังนั้นการเลือกทําเลที่อยู่อาศัยเป็นความตั้งใจและเป็นการกระทําที่ต้องมีความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ
1.3
เครื่องนุ่งห่ม เครื่องนุ่งห่มในสมัยแรกนั้นเป็นการนําใบไม้
เยื่อไม้และหนังสัตว์ที่หาได้มาห่อหุ้มร่างกายเพื่อให้ความอบอุ่น หรืออาจนํามาประดับร่างกายเพื่อแสดงความสามารถในการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ
จากนั้นมีการผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มจากวัสดุที่หาได้ในถิ่นที่อยู่อาศัยสําหรับสมาชิกในครอบครัว
ต่อมาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของมนุษย์ทําให้เกิดการผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเพื่อการค้า
1.4
ยารักษาโรค การสังเกตสิ่งแวดล้อมมนุษย์เริ่มใช้พืชสมุนไพรในการรักษาโรคภัยไข.เจ็บ
โดยเอามาทั้งต้น กิ่ง ก้าน เปลือก แก่น ดอก ราก ต้มกินหรือทาครั้งละมากๆ
ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ตัวทําละลายที่เหมาะสม เช่น แอลกอฮอล์ อีเทอร์
สกัดเอาตัวยาแท้ ๆ จากส่วนต่างๆ ของต้นไม้ แล้วทําให้ตัวทําละลายระเหยไป
เหลือแต่ตัวยาไว้ทําให้เป็นผงหรือผลึก ใช้กินแต่น้อย นอกจากการสกัดตัวยาจากสมุนไพร
มนุษย์ยังใช้วิธีสังเคราะห์ยาเลียนแบบตัวยาในสมุนไพรโดยใช้วัตถุดิบจากสิ่งแวดล้อม
2.
สิ่งกําหนดการตั้งถิ่นฐานและชุมชน
ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการตั้งถิ่นฐานและชุมชนของมนุษย์
เพราะมนุษย์ต้องอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นเป็นปัจจัยในการดํารงชีวิตในบริเวณพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์
เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำ ที่ราบรอบๆ ทะเลสาบ ที่ราบชายฝั่งทะเล จึงมักเป็นแหล่งชุมชนโบราณที่ปรากฏหลักฐานอยู่จนปัจจุบัน
เช่น อียิปต์ กรีก โรมัน จีน อินเดียและได้กลายเป็นบริเวณที่มีประชากรหนาแน่นของโลก
3.
ตัวกําหนดลักษณะอาชีพ
มนุษย์ในแต่ละท้องถิ่นจะประกอบอาชีพแตกต่างกันไป
ตามสภาพของพื้นที่และลักษณะของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น บริเวณที่ราบลุ่มมักจะมีอาชีพทําเกษตรกรรม
บริเวณชายทะเลหรือเกาะต่างๆ ก็จะทําการประมง บริเวณที่เป็นแหล่งแร่ก็จะทําเหมืองแร่เป็นอาชีพหลัก
นอกจากนี้สภาพของพื้นที่และลักษณะของทรัพยากรธรรมชาติยังมีผลต่อการผลิตทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่แตกต่างกันอีกด้วย
4.
ตัวกําหนดรูปแบบของวัฒนธรรม
รูปแบบวัฒนธรรมของมนุษย์แต่ละท้องถิ่น
มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการดําเนินชีวิตที่เป็นไปตามสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น
เช่น การแต่งกาย การกินอาหาร ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนความเชื่อและค่านิยมต่างๆ
ล้วนถูกกําหนดให้มีรูปแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นทั้งสิ้น
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมยังมีอิทธิพลต่อลักษณะนิสัยใจคอของมนุษย์อีกด้วย
เช่น ในเขตอบอุ่นผู้คนมักมีนิสัยสุขุมรอบคอบ ใจเย็น กระตื้อรือร้น
และขยัน แต่ในเขตร้อนผู้คนมักจะมีนิสัยที่ตรงข้ามกับเขตอบอุ่น เช่น
เฉื่อยชา เกียจคร้าน ใจร้อน หงุดหงิดอารมณเสียง่าย ขาดความรอยคอบ ส่วนคนที่อาศัยอยู่ในป่ามักมีนิสัยดุร้าย
ชอบการต่อสู้ และผจญภัย
5.
กิจกรรมทางด้านการเมือง
หน่วยการเมืองที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆ
ของโลก จะรวมตัวเป็นหน่วยเดียวกันได้จะต้องมีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์คล้ายคลึงกันมากที่สุด
ส่วนการดําเนินกิจกรรมทางการเมืองจะเป็นมิตรหรือศัตรูกันหรือไม่นั้น
ก็ขึ้นอยู่กับความกดดันทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นต้นว่าถ้าเกิดความไม่สมดุลของทรัพยากรธรรมชาติกับจํานวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น
หรือพรมแดนธรรมชาติที่เป็นร่องน้ำมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หรือเกิดความแตกต่างในลัทธิความเชื่อทางศาสนา
ตัวอย่างเช่น การที่กองทัพญี่ปุ่นเขายึดครองเกาะไต้หวัน และแมนจูของจีนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่
2 เป็นเพาะญี่ปุ่นเกิดปัญหาเรื่องอาหารไม่พอเพียงสําหรับเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และดินแดนของจีนทั้งสองแห่งมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผลที่ญี่ปุ่นต้องการ
หรือกรณีความแตกต่างในเรื่องลัทธิศาสนาจนเป็นเหตุทําให้อินเดียและปากีสถานต้องแยกหน่วยการเมืองออกจากกันและเป็นศัตรูต่อกันจนถึงปัจจุบัน
เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า
สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติมีความสําคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งที่คอยค้ำจุนความเจริญของมนุษย์ในทุก
ๆ ด้าน การศึกษาทางวิ ทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อมทําให้ ประชาชนหรือชุมชนรู้
จักใช้ ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นอย่างชาญฉลาดแล้ว ประชาชนจะมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจอยู่ดีกินดีมีคุณภาพชีวิตที่ดี
แต่ในทางตรงกันข้าม ประเทศหรือชุมชนใดที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติหรือประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจ
และไม่ตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย
ขาดความระมัดระวัง และความรับผิดชอบต่อการใช้และบํารุงรักษา ก็จะทําให้ทรัพยากรธรรมชาติต้องสูญเสียไปอย่างไม่คุ้มค่าและขาดแคลนในที่สุด
แล้วชุมชนหรือประเทศนั้นก็ตกอยู่ในฐานะที่ยากจน คุณภาพชีวิตต่ำ ปัญหาความวุ่นวายต่างๆ
ก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายต่อหลายครั้งที่พบว่า
ภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมบางส่วนเนื่องมาจากผลการพัฒนาที่มิได้คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นแนวความคิดที่ถูกต้องในการพัฒนาก็คือ การพัฒนาที่คํานึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลการพัฒนานั้นก่อให้เกิดผลดีแก่ชีวิตมนุษย์ ในปัจจุบันรัฐบาลของหลายประเทศจึงหันมาให้ความสําคัญในเรื่องของการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ในระดับมาตรฐาน นั่นคือการอยู่ดีกินดีของประชาชนในสังคมให้ดีขึ้นภายในกรอบและขอบเขตความเป็นจริง
ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับเอกลักษณ์ระดับมาตรฐานสภาพความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณี
วัฒนธรรม สังคม
การพัฒนาเพื่อคุณภาพแห่งชีวิตนั้น
ก็คือความพยายามร่วมกันในอันที่จะใช้ทรัพยากรอันมีค่าของชาติให้ เกิดผลดี
ที่สุดและสอดคล้องกับชีวิตจิตใจความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของชาติให้มากที่สุดในความพยายามร่วมกันนี้จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นไปในรูปแบบของสหวิทยาการ
(วิชาการหลายสาขาร่วมกัน) เพื่อให้แน่ใจได้ว่าโครงการพัฒนาทั้งมวลจะต้องไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือหากว่ามีก็จะต้องน้อยที่สุด
หลักปฏิบัติพื้นฐานอันเป็นหลักทั่วไปของโครงการพัฒนาต่างๆ
ควรจะต้องคํานึงถึงหลักสําคัญต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.
ผลดีในทางเศรษฐกิจ
2.
ความเหมาะสมในทางสังคม
3.
เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในทางเทคโนโลยี
4.
เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในด้านสิ่งแวดล้อม
|